เดวิด แบคแฮม (David Beckham) , ฟิล โฟเดน (Phil Foden) หรือ คานเย เวสต์ (Kanye West) คนดังเบอร์ใหญ่ ตลอดจนไอดอลเกาหลี /ญี่ปุ่น เปลี่ยนสีผมทีก็เป็นเทรนด์ฮิตแบบเท่ห์ๆ
กักตัวอยู่บ้านแบบนี้ ก็ไม่อาจปิดกั้นการมองหาสีผมใหม่ๆ จะ ‘กัดสีผม’ ยังไงให้เป๊ะตรงชาร์จและเข้ากับเรามากที่สุด อ่านวิธีเลือกสีผมพร้อมเทคนิคดูแลแบบไม่เสียใจภายหลังกันค่ะ
สีบลอนด์ทอง
สีแรกเริ่มของคนกัดสีผมทั้งหลายเลยจ้า เพื่อพิกเมนต์ของสีอื่นๆ โดยขั้นตอนที่เกิดขึ้นจะต้องแล้วแต่สภาพเส้นผม ความยาว ความหนาของแต่ละคน กัดสีซ้ำ + ใช้โทนเนอร์เพื่อปรับอันเดอร์โทนในเฉดสีที่ต้องการ เช่น แพลตตินั่มบลอนด์ ต้องคู่กับ White Toner + แชมพู/ครีมนวด สูตรที่ฆ่าสีเหลือง เพื่อฟินิชลุคที่เป๊ะปัง. อ้อ! สีบลอนด์ยังเข้ากันได้กับทุกคนด้วย แต่ต่องทำในช่วงที่สภาพเส้นผมของเราแข็งแรงพอค่ะ
สีโทนสว่าง
สีชัดๆ อย่างแดง , ชมพู , ฟ้า , เขียว , ส้ม จัดเป็นโทนที่ทำง่าย ไม่ต้องดูแลเยอะ เพียงเริ่มจากกัดผมให้เป็นสีบลอนด์ซีด หรือ เคยทำไฮไลท์มาแล้วก็ต่อได้เลย เคล็ดลับคือ ยิ่งเป็นสีบลอนด์โทนสะอาดเท่าไหร่ ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะชัดเจนขึ้นเท่านั้น และการใช้โทนเนอร์ลดสีเหลืองเพื่อป้องกันอันเดอร์โทนให้รับสีสุดท้ายได้ดี เช่น ถ้าผมสีเหลืองออกทอง ลงสีฟ้าอาจได้สีเขียว หรือ ลงสีชมพูแล้วได้สีพีชซะงั้น ต่อจากนั้น คือ การเติมโคนผมและบำรุงให้สีติดทนนาน ไม่แห้งเสียจ้า
สีพาสเทล
ปิดท้ายด้วยสียอดฮิตแต่จะละเอียดอ่อนกว่าในแต่ละขั้นตอน เริ่มจากกัดสีผมให้มีพื้นผมสีอ่อนที่สุดเท่าที่จะทำได้ กลายเป็นบลอนด์สว่าง เอาโทนสีเหลืองออกด้วยโทนเนอร์ให้เยอะที่สุด แล้วต่อด้วยสีโทนพาสเทลสดใส เช่น ชมพูอ่อน หรือม่วงสุดชิค ข้อดี คือ สีนี้จะเข้ากับสีผิวทุกโทน ข้อเสีย คือ จะต้องเติมบ่อยกว่าสีอื่น และใช้โทนเนอร์แชมพู+ครีมนวด เพื่อล็อคสีสันเมื่อสระผมแต่ละครั้งค่ะ
การกัดสีผมที่ว่า ยังต้องกัดประมาณ 2-3 รอบเพื่อให้ผมเดิมซีดลงมากที่สุด และเพราะใช้สารเคมีจึงออกจะแสบๆ ระคายเคืองกันบ้าง เทกลางคันก็ไม่ได้:( ความจริงอีกอย่าง คือสีจะเฟดจางลงเรื่อยๆ ควรย้อมทับทุก 1-2 เดือน พร้อมการบำรุงแชมพู-ครีมนวดเฉพาะ ออยล์ รึเซรั่มอะไรก็ว่าไป อยากสวยอยากหล่อจึงต้องอดทนนะจ๊ะ!