พอได้ทำสิ่งดีๆให้ใครซักคน ความรู้สึกมันช่างอิ่มเอม ทำไมกันนะ?

ลองนึกถึงวันที่อากาศดีๆซักวันนึง คุณออกไปเดินเล่นข้างนอกแบบเพลินๆ แล้วก็ไปเจอกับป้าแก่ๆคนนึงนั่งขายผักเหี่ยวๆอยู่ ป้าร้องทักคุณว่า “เอามั้ยหนู? หมดนี่ป้าเอายี่สิบพอ ป้าจะกลับบ้านแล้วเดี๋ยวรถหมดก่อน ป้ามาไกลมากๆ วันนี้ป้าขายไม่ดีเลย ป้าขอแค่ค่ารถกลับบ้านก็พอนะ” คุณยิ้มให้ป้าแล้วบอกว่า “งั้นหนูเหมาหมดเลยค่ะป้า” ป้าเอาผักใส่ถุงแล้วส่งให้คุณพร้อมกับบอกว่า “ขอบใจมากนะ ขอให้เจริญๆนะลูกนะ” คุณรับผักเหี่ยวๆนั่นแล้วเดินต่อไปพร้อมกับใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มและหัวใจที่พองโต ทำไมถึงรู้สึกดีได้ขนาดนี้นะ?

แน่นอนว่ารอยยิ้มและหัวใจที่พองโตนั้นคงไม่ได้เกิดจากผักเหี่ยวๆที่คุณเพิ่งได้มาแน่ๆ ความจริงแล้วร่างกายของเราต่างหากที่ตอบสนองต่อการที่เราได้ทำสิ่งดีๆให้กับคนอื่นๆ โดยการที่สมองของเราจะหลั่งสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “สารเซโรโทนิน (Serotonin)” สารนี้ส่งผลต่ออารมณ์และความรู้สึกของเราเป็นพิเศษ นี่แหละคือเบื้องหลังของอาการหัวใจพองโตยังไงล่ะ นอกจากทำให้เรารู้สึกมีความสุขมากขึ้นแล้ว ยังช่วยให้เรานอนหลับสบายขึ้นด้วย ดังนั้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าร่างกายเรามีสารชนิดนี้ต่ำกว่าปกติ ก็จะทำให้เราเป็นโรคซึมเศร้า เกิดความเครียด และความรู้สึกหงุดหงิดได้นั่นเอง

ยิ่งให้ ยิ่งได้

การให้ ทำให้เราได้อายุยืนขึ้น อย่างที่บอกไปการให้สิ่งดีๆกับคนอื่นนั้นจะทำให้เรารู้สึกมีความสุขมากขึ้น และยิ่งเรามีความสุข เราก็อาจจะมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นได้ เพราะชีวิตเราจะมีความหมายมากขึ้นหากเราได้ทำสิ่งดีๆให้คนอื่นบ้าง นั่นจะช่วยให้เรามีโอกาสเป็นซึมเศร้าน้อยลง ยิ่งเราทำแบบนั้นทุกๆวัน สุขภาพจิตของเราก็จะยิ่งแข็งแรงขึ้นตามไปด้วย เค้าเรียกว่า คนอารมณ์ดีไงล่ะ นี่แหละ เคล็ดลับของคนอายุยืน

การให้ ทำให้ได้สังคมที่สวยงาม เคยได้ยินมาว่าการให้เป็นเหมือนโรคติดต่อ เมื่อใครก็ตามได้เห็นคนๆหนึ่งทำสิ่งดีๆ เค้าก็จะอยากทำสิ่งดีๆนั้นตามไปด้วย สิ่งเล็กๆนี้เรียกว่า “แรงบันดาลใจ” ยังไงล่ะ ยิ่งเราแสดงตัวอย่างของการให้ในสังคมมากขึ้น คนอื่นๆก็จะยิ่งซึมซับพฤติกรรมดีๆนี้ และแสดงออกมาด้วยเช่นกัน

การให้ ทำให้เราได้ความสุขกลับมา อย่างที่เราได้คุยกันไปแล้ว ด้วยสารเซโรโทนินนี่แหละที่จะช่วยกระตุ้นให้เรามีความสุขมากขึ้น มีงานวิจัยหนึ่งบอกว่า คนที่บอกว่าตัวเองมีความสุข เค้ามักจะทำงานอาสาสมัครมากกว่าคนทั่วไปถึง 5.8 ชม.เลยนะ และแน่นอนว่าปริมาณสารเซโรโทนินในร่างกายของเค้าก็จะมีมากกว่าคนอื่นๆตามไปด้วย

การให้ ทำให้เราความดันต่ำลง ในทุกวันนี้เราหลายคนมีปัญหากับชีวิตที่ยุ่งยากมากๆ และผลกระทบที่ตามมาคือการเป็นโรคหัวใจ หรือโรคความดันมาเป็นของแถม แต่มีงานวิจัยที่ระบุไว้ว่า เมื่อผู้สูงอายุทำงานอาสาสมัครอย่างน้อย 200 ชม.ต่อปี จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคความดันสูงได้ถึง 40% นอกจากนั้นยังลดความเหงา และความซึมเศร้าลงได้อีกด้วย

แทนที่จะคิดว่าคนอื่นจะช่วยเราได้ยังไง ให้คิดว่าเราจะช่วยคนอื่นๆได้ยังไงก่อน

ปัญหาหลักๆที่อาจเจอได้คือ เราทุกคนต่างมีปัญหาเป็นของตัวเอง และเราแต่ละคนมักจะคิดว่าจะไปขอความช่วยเหลือจากใครดี ซึ่งจริงๆแล้วหลายคนไม่สามารถแก้ปัญหาได้จากการหมกมุ่นกับความคิดแบบนั้นหรอก ดังนั้น แทนที่เราจะหมกมุ่นอยู่แต่กับปัญหาของตัวเอง ในระหว่างที่แก้ปัญหายังไม่ได้นั้น ให้เราเงยหน้าแล้วมองปัญหาของคนอื่นบ้าง และเริ่มคิดว่าเราจะสามารถช่วยเค้าได้ยังไง ด้วยวิธีนี้อาจจะทำให้เราอารมณ์ดีขึ้นจากสารเซโรโทนินที่หลังออกมา และการอารมณ์ดีขึ้นอาจจะช่วยให้เรามองเห็นทางออกของปัญหาตัวเองในที่สุดก็เป็นได้ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราควรช่วยคนอื่นจากใจจริงๆ ไม่ใช่เพื่อหวังให้ได้รับอะไรตอบแทน เพราะการทำแบบบนั้น นอกจากจะไม่ใช่การให้ที่ถูกต้องแล้ว เราอาจจะได้ความเครียดเพิ่มกลับมาจากการคาดหวังแล้วไม่สมหวังก็เป็นได้

อย่าปล่อยให้ประสบการณ์ที่ไม่ดีมาหยุดไม่ให้เราทำดีนะคะ