กินเนื้อหลอก(Plant Based)อย่างไรให้มีความสุข ?

Plant -Based Meat หรือเนื้อที่ทำมาจากพืช ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆในกลุ่มคนที่รักสุขภาพแและสิ่งแวดล้อม แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่คุ้นเคย ในบทความนี้ก็เลยอยากชวนไปทำความรู้จักกับเนื้อหลอกกันค่ะ ว่ามีประโยชน์อย่างไร ? และกินอย่างไรให้มีความสุข ? 

เนื้อหลอกคืออะไร ? 

Plant -Based Meat เป็นนวัตกรรมที่นำพืชมาแปรรูปให้ใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ ทั้งรสชาติ และรสสัมผัส  95 % ของเนื้อหลอกจะใช้วัตถุดิบมาจากพืช โดยเฉพาะถั่วเหลืองค่ะส่วน อีก 5 % จะมาจาก เห็ด สาหร่าย สารฮีม บีทรูท เซลลูโลสจากอ้อยและน้ำมันจากพืช และเครื่องปรุงที่ทำให้เนื้อหลอกมีรสชาติคล้ายกับเนื้อสัตว์มากที่สุดค่ะ

มีประโยชน์อย่างไร ?

การกินเนื้อหลอกนั้นมีข้อดีตรงที่ว่า ไม่มีคอเลสเตอรอลค่ะ ทำให้ลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือด และลดความเสี่ยงต่อยาปฎิชีวนะที่อยู่ในกระบวนการผลิตเนื้อสัตว์ได้ค่ะ เพียงแต่ต้องระวังปริมาณโซเดียมค่ะเพราะบางยี่ห้ออาจมีโซเดียมสูงกว่าเนื้อสัตว์หลายเท่าค่ะ

กระบวนการผลิตเนื้อจากพืช ช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืนค่ะ เพราะใช้ที่ดินและน้ำน้อยกว่า 50-99 % และปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่า 30- 90 % เมื่อเทียบกับกระบวนการผลิตเนื้อสัตว์จริงๆ  คนที่กิน เนื้อหลอกจึงรู้สึกดีต่อร่างกาย ดีต่อใจ ที่ได้ดูแลสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆกันค่ะ

กินยังไงให้มีความสุข ?

สำหรับคนที่กำลังจะเริ่มเนื้อหลอกไม่ต้องกลัวว่าจะไม่อร่อยและกินแล้วไม่มีความสุขนะคะ เพราะเรามีวิธีมาฝากค่ะ เริ่มกันที่

เลือกประเภทเครื่องปรุงที่เข้ากันกับเมนูที่ทำ เช่น เนื้อบดต้องคู่กับเมนู  ซอสสปาเกตตี ผัดกะเพรา หรือ มีตบอล ส่วนเนื้อเป็นชิ้นก็ทำเมนู สเต็ก หรือเบอเกอร์จะทำให้ได้เมนูที่หลากหลายไม่น่าเบื่อ แถมมีความสุขทุกมื้อที่กินอีกด้วย

เวลา และอุณหภูมิที่ใช้ในการปรุงก็สำคัญด้วยนะคะ เนื้อจากพืชส่วนใหญ่จะสุกเร็วกว่าเนื้อจริง และบางยี่ห้อก็ปรุงสุกมาแล้วบางส่วน การลดเวลาในการปรุงลงจะทำให้ได้รสชาติ และรสสัมผัสที่อร่อยและน่ากินมากขึ้น 

เพิ่มผักและผลไม้เข้าไปในแต่ละเมนูจะช่วยให้ร่างกายได้ไฟเบอร์ในปริมาณที่เพียงพอในแต่ละวันค่ะ

เพื่อนๆรู้สึกยังไงกับเนื้อหลอก ? เมื่อรู้ว่าทำมาจากอะไร ? มีประโยชน์ต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างไร ? ปรุงอย่างไรให้อร่อย ? ดิฉันเชื่อว่าข้อมูลที่นำมาฝากอาจจะทำให้เพื่อนๆหลายคนหันมากินเนื้อหลอกอย่างมีความสุขกันมากขึ้นใช่มั้ยคะ ? เพราะดีต่อร่างกาย ดีต่อใจ และได้ดูแลสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆกันนั่นเอง

Photo by Mae Mu on Unsplash